ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฏฐานสังคหวิภาค
หน้าที่
: 1 2
3 4 5 6 7
8 9 10 11 12
13 14 15 16 17
18 19 20 21 22
23 24 25
26 27 28 29 30 31 32
33 34 35 36 37 38 39
40 41 42 43 44 45 46
47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57
58 59 60 61 62 63 64
65 66 67 68 69 70 71
72 73 74 75
76 77 78 79 80 81
82 83 84 85 86 87 88 89
90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100
101 102 103 104 105 106 107 108
109 110 111 112 113 114 115 116 117
118 119 120 121 122
123 124 125 126 ค้นหาหัวข้อธรรม
![]()
วิปัสสนากัมมัฏฐาน
วิปัสสนากัมมัฏฐาน
แปลว่า
อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานทางใจที่จะให้เห็นแจ้ง
ซึ่งมีความหมายว่า ให้เห็นแจ้ง รูปนาม
ให้เห็นแจ้ง ไตรลักษณ์
ให้เห็นแจ้ง
อริยสัจจ
ให้เห็นแจ้ง มัคค
ผล นิพพาน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าต่างกับ
สมถกัมมัฏฐาน
ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น
เพราะสมถกัมมัฏฐานเป็นเพียงอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานทางใจ
ที่จะให้เกิดความสงบ
แต่อย่างเดียวเท่านั้น
ไม่ถึงกับให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
ดังที่กล่าวนี้ด้วย
บ้างก็กล่าวสั้น
ๆ ว่า สมถะเป็นอุบายสงบใจ
วิปัสสนาเป็นอุบายเรืองปัญญา
มีคาถาที่
๑๒ ที่ ๑๓ ที่ ๑๔ เริ่มต้นกล่าวถึง
วิปัสสนากัมมัฏฐานว่า
๑๒.
วิปสฺสนา
กมฺมฏฺฐาเน นโย ปน วิชฺชานโย
อาทิมฺหิ สีลวิสุทฺธิ ตโต
จิตฺตวิสุทฺธิ จ ฯ
๑๓.
ตโต
ตุ ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ กงฺขาวิตรณาปิ
จ ตโต ปรํ มคฺคามคฺค
ญาณทสฺสนนามิกา ฯ
๑๔.
ตถา
ปฏิปทาญาณ ทสฺสนา ญาณทสฺสนา
อิจฺจานุกฺกมโต วุตฺตา สตฺต
โหนฺติ วิสุทฺธิโย ฯ
ตามนัยแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน
เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งนั้น
พึงทราบว่า ในเบื้องต้นตรัส
สีลวิสุทธิ ต่อนั้นตรัส
จิตตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ
กังขาวิตรณวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
และญาณทัสสนวิสุทธิ รวมวิสุทธิ ๗
ประการ
ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วโดยลำดับฉะนี้
อธิบาย
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
ทรงแสดงวิปัสสนากัมมัฏฐานญาณอันสูงสุด
รู้เห็นตามทัสสนะที่เป็นจริง
ประดุจดวงอาทิตย์อุทัย
ยังโลกให้สว่างฉะนั้น
บรรดาสาวกของพระพุทธองค์ได้น้อมรับฐานที่ตั้งของการงานที่ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงด้วยประการต่างๆ
มาศึกษาปฏิบัติ
จนประทับใจมนุษย์และเทวดาทั้งหลายเป็นอันมาก
ยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบปานได้
สิ่งนั้น คือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน
อันเป็นไปเพื่อความบริสุทธิหมดจดโดยส่วนเดียว
ซึ่งเรียกว่า
วิสุทธิมัคค
คือทางบริสุทธิ
ผู้ใดเดินทางนี้จนถึงที่สุดแล้ว
ย่อมบรรลุจุดหมายปลายทาง อมตะมหานิพพาน
อันเป็นที่บริสุทธิ
สิ้นกิเลสและพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
อันคำว่า
มัคค หรือ ทาง มีความหมาย ๒ อย่าง
คือ ปกติมคฺโค
ทางปกติ ได้แก่ ทางน้ำ ทางบก
เป็นต้น สำหรับคนและสัตว์เดิน
และ ปฏิปทามคฺโค
ทางปฏิบัติ ได้แก่
บาปบุญที่บุคคลทำ
อันเป็นทางสำหรับ กาย วาจา ใจ
เดิน
ปฏิปทามัคค
คือทางปฏิบัตินั้น
จำแนกได้เป็นหลายนัย
แต่ในที่นี้ขอจำแนกว่ามี ๕ สาย
คือ
๑.
ทางสายไปอบายภูมิ
ได้แก่ ความทุสีล
หรืออกุสลกรรมบถ ๑๐ มี โลภะ โทสะ
โมหะ เป็นมูล
๒.
ทางสายไปมนุษยภูมิ
ได้แก่
มนุษย์ธรรม คือ รักษาสีล ๕ สีล ๘
หรือ กุสลกรรมบถ ๑๐
๓.
ทางสายไปกามาวจรสวรรค์
ได้แก่ มหากุสลจิต ๘ ดวง
ที่มีหิริและโอตตัปปะ
เป็นหัวหน้า เช่น ให้ทาน ฟังธรรม
แสดงธรรม เป็นต้น
๔.
ทางสายไปพรหมโลก
ได้แก่
การเจริญสมถภาวนาจนเกิดฌาน
๕.
ทางสายไปพระนิพพาน
ได้แก่ การเจริญวิปัสสนาภาวนา
จนบรรลุ มัคค ผล นิพพาน
ในทาง
๕ สายนี้ สายที่ ๕
เป็นทางแห่งสันติ
เป็นทางที่ให้ถึงซึ่งความ
บริสุทธิหมดจด อันเรียกว่า
วิสุทธิมัคค ที่จะกล่าวต่อไปนี้
ทางสายที่ ๕
นี้เรียกอีกนัยหนึ่งว่า
เอกายนมัคค เพราะอรรถว่า
ก.
เป็นทางสายเดียว
ที่จะให้ถึงความหมดจดได้
ไม่มีทางสายอื่นใดอีกเลย
ข.
เป็นทางไปคนเดียว
คือ ต้องละจากหมู่ไปสู่ที่สงัด
ปฏิบัติแต่ผู้เดียว
ใครจะมาช่วยทำให้ไม่ได้
และบรรลุแต่ผู้เดียว
จะขอใครให้บรรลุตามไปด้วยไม่ได้
ค.
เป็นทางที่ผู้เดียวค้นพบ
คือ
เป็นทางที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแต่ผู้เดียว
ไม่ใช่มีใครมาช่วยค้นหาด้วยจึงได้พบ
ง.
เป็นทางแห่งเดียว
คือ
มีอยู่ในพระพุทธศาสนาแต่แห่งเดียวเท่านั้น
มิได้มีในศาสนาอื่นใดอีกเลย
จ.
เป็นทางไปสู่จุดหมายเดียว
คือ
ไปสู่พระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น
ไม่ไปสู่จุดอื่นใดอีกเลย
![]()
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
![]()