๔. ถาม
ผู้ปฏิบัติมีความจำเป็นอย่างไรหรือ
จึงจะต้องไปคอยเฝ้าดูอิริยาบถ ๔
อยู่
ขอให้แสดงเหตุผลในการที่ต้องไปคอยเฝ้าดูอยู่เนืองๆให้เข้าใจสักหน่อยเถิด ตอบ อ๋อ
เรื่องนี้ขอให้ท่านลองพิจารณาดูด้วยเหตุผลสักหน่อยก็พอรู้ได้
ความจริงคนเราทุกวันนี้น่ะ
ต่างคนต่างก็หวังความสุขสบายด้วยกันทั้งนั้นใช่ไหม
เราก็จะต้องรับว่า "ใช่" แล้วก็เป็นความจริงเช่นนั้น
เมื่อลุกจากที่นอนแล้วต่างคนต่างก็ตั้งหน้าไปทำงานเพื่อเสาะหาความสุขให้ตนและคอบครัวด้วยกันทั้งนั้น
เพราะมีความเข้าใจว่าถ้าตนได้สมบัติที่ได้ตั้งใจไว้มาก็จะเป็นความผาสุขดังที่คาดคิด
อันนี้ไม่ว่า หญิง ชาย เด็ก
ผู้ใหญ่ สาวแก่ แม่หม้าย พระ เถร
เณร ชี ก็ต้องการ
ทุกคนก็ตั้งความหวังกันไว้คนละอย่าง
๒ อย่าง
แต่ทุกคนหาได้ใช้ปัญญาพิจารณาไม่ว่า
นั่นเป็นเพียงการแก้ทุกข์กันไปวันหนึ่งๆเท่านั้น
แท้จริงแล้วในแง่ของคำสอนพระหาได้เป็นความสุขไม่
ที่แท้ก็คือความทุกข์นั่นเอง
เพราะขึ้นชื่อว่า "โลก" แล้วไม่มีอะไรเป็นความสุขเลย
พูดง่ายๆก็คือ - เราจะไปเสาะหาความสุขในโลก
เป็นอันว่าหาไม่พบก็แล้วกัน
เพราะความสุขไม่ได้มีอยู่ในโลกไหนๆ
อันนี้เราจะเห็นว่าเป็นความทุกข์ได้
ก็จะต้องคอยใช้ปัญญาเฝ้าพิจารณาดูความจริงของทุกข์ที่มันกำลังปรากฏอยู่
ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ถึงความเป็นจริงของมันได้
หากมีปัญหาสอดถามว่าแล้วก็ความทุกข์ที่ว่านั่นน่ะ
มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ
ก็จะต้องตอบว่า ก็อยู่ที่ขันธ์ ๕
หรือรูปนามนั้นแหละ
เพราะนอกจากขันธ์ ๕
รูปนามก็ไม่มีอะไรเป็นทุกข์
ตัวทุกข์ก็คือขันธ์
รูปนามนั่นเอง ดังนั้น
การที่เราจำเป็นต้องใช้ปัญญาเฝ้าพิจารณาดูอิริยาบถก็คือการคอยใช้ปัญญาคอยเฝ้าดูทุกข์นั่นเอง
ฯ
|