บาลี
กสฺส คมนนฺติ น กสฺสจิ สตฺตสฺส
วา ปุคฺคลสฺส วา คมนํ ฯ
กึ
การณา คจฺฉตีติ จิตฺตกิริยวาโย
ธาตุวิปฺผา-เรน คจฺฉติ ฯ
ตสฺมา เอส เอวํ ปชานาติ คจฺฉามีติ จิตตํ
อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺตึ
ชเนติ
จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน
สกลกายสฺส ปุรโต
อภินีหาโร
คมนนฺติ วุจฺจติ ฯ ฐานาทีปิสุ
เอเสว
นโย ฯ
ตตฺราปิ หิ ติฏฺฐามีติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย
วิญญตฺตึ,
จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺ-ผาเรน
สกลกายสฺส โกฏิโต ปฏฺฐาย
อุสฺสิตภาโว
ฐานนฺติ วุจฺจติ
ฯ
นิสีทามีติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ,
วาโย วิญฺยตฺตึ
ชเนติ,
จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผา- เรน
เหฏฺฐิมกายสฺส สมิญฺชนํ
อุปริมกายสฺส
อุสฺสิตภาโว
นิสฺสชฺชาติ วุจฺจติ ฯ
สยามีติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ ตํ
วายํ ชเนติ วาโย
วิญฺญตฺตึ ชเนติ,
จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน
สกลฺสรีรสฺส ติริยโต ปสารณํ
สยนนฺติ วุจฺจตีติ ฯ
บาลี
ตสฺส เอวํ ปชานโต เอวํ โหติ สตฺโต คจฺฉติ,
สตฺโต ติฏฺฐตีติ วุจฺจติ, อตฺถโต ปน โกจิ
สตฺโต คจฺฉนฺโต วา ฐิโต วา นตฺถิ ฯ
ยถา ปน สกฏํ คจฺฉติ สกฎํ
ติฏฺฐตีติ วุจฺจติ,
น จ กิญฺจิ สกฏํ
นาม คจฺฉนฺตํ วา ฐิตํ วา อตฺถิ,
จตฺตาโร ปน โคเณ
โยเชตฺวา เฉกมฺหิ สารถิมฺหิ
ปาเชนฺเต สกฏํ คจฺฉติ, สกฏํ ติฏฺฐตีติ
โวหาร-มตฺตเมว โหติ, เอวเมว
อชานนตฺเถน สกฏํ วิย กาโย, โคโณ วิย
จิตฺตชวาตา, สารถิ วิย จิตฺตํ ฯ
คจฺฉามิ
ติฏฺฐามีติ จิตฺเต
อุปฺปนฺเน วาโย-ธาตุ วิญฺญตฺตึ
ชยมานา อุปฺปชฺชติ, จิตฺตกิริย-
วาโยธาตุวิปฺผาเรน
คมนาทีนิ ปวตฺตนฺติ, ตโต
สตฺโต คจฺฉติ
ติฏฺฐติ, อหํ คจฺฉามิ, อหํ ติฏฺฐามีติ
โวหารมตฺตํ โหติ
ฯ
เตนาห
นาวา มารุตเวเคน ชิยเวเคน เตชนํ
ยถา ยาติ ตถา กาโย, ยาติ
วาตาหโต, อยํ
ยนฺตํ สุตฺตวเสเนว,
จิตฺตสุตฺตวเสนิทํ
ปยุตฺตํ กายยนฺตมฺปิ, ยาติ
ฐาติ นิสีทติ
โก นาม เอตฺถ โส
สตฺโต,
โย วินา เหตุ ปจฺจเย
อตฺตโน อานุภาเวน ติฏฺเฐ
วา ยทิ วา วเชติฯ
|
คำแปล
ความรู้ข้อที่ว่า
การเดินของใคร แก้ว่า
ไม่ใช่การเดินของสัตว์หรือบุคคลไรๆดอกฯ
ความรู้ข้อที่ว่า
เพราะเหตุไรจึงเดิน
แก้ว่าเพราะความผลักดันของวาโยธาตุอันเกิดจากพลังงานของจิตจึงเดินฯ
เพราะฉะนั้น ภิกษุนี้
จึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า
จิตคิดว่าจะเดินเกิดขึ้น
ก็ทำให้ลมนั้นเกิด
ลมก็ทำให้เกิดวิญญัติ
เพราะความผลักดันของวาโยธาตุที่เกิดจากพลังงานของจิตกายทุกส่วน
จึงเดินไปข้างหน้า
ท่านจึงเรียกว่า เดิน ฯ
ถึงในอิริยาบถยืนเป็นต้น
ก็นัยนี้เหมือนกันฯ
แม้ในอิริยาบถ ๓
ที่เหลือเหล่านั้น
ก็มีความพิสดารว่า
จิตคิดว่าจะยืนเกิดขึ้น
ก็ทำให้เกิดลมนั้น
ลมก็ทำให้เกิดวิญญัติ
เพราะความผลักดันของวาโยธาตุที่เกิดจากพลังงานของจิต
ภาวะที่กายทุกส่วนมีความสูงขึ้น
ท่านจึงสมมติเรียกว่ายืน ฯ
จิตคิดว่าจะนั่งเกิดขึ้น
ก็ย่อมทำให้ลมนั้นเกิด
ลมก็ย่อมทำให้วิญญัติเกิด
เพราะความผลักดันของวาโยธาตุที่เกิดจากพลังงานของจิต
ก็ทำให้กายท่อนล่างคู้เข้า
กายท่อนบนมีความสูงขึ้น
ท่านจึงสมมติเรียกว่านั่ง ฯ
จิตคิดว่าจะนอนเกิดขึ้น
ก็ทำให้ลมนั้นเกิด
ลมก็ทำให้วิญญัติเกิด
เพราะความผลักดันของวาโยธาตุที่เกิดจากพลังงานของจิต
สรีระทุกส่วนจึงเหยียดขวางออกไป
ท่านจึงสมมติเรียกว่านอน
ดังนี้แล ฯ
คำแปล
ความรู้อย่างนี้
ย่อมเกิดมีแก่เธอผู้รู้ชัดอยู่ด้วยอาการอย่างนี้
เราจะกล่าวได้หรือว่า สัตว์เดิน สัตว์ยืน แต่ถ้าว่าโดยสภาวะแล้ว
ก็หามีสัตว์ไรๆเดินหรือยืนไม่ ฯ
อุปมาเหมือนกับที่พูดว่าเกวียนไป, เกวียนหยุด
ที่จริงแล้ว
หาได้มีเกวียนไรๆไปหรือหยุดอยู่ไม่
แต่ว่าเมื่อสารถีผู้ฉลาด
เทียมโคสี่ตัวขับไป
จึงได้เกิดมีโวหารเพียงว่า
เกวียนไป,
เกวียนหยุด
เท่านั้น ข้อนี้ฉันใด
เพราะอรรถว่าไม่รู้
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
กายเทียบได้กับเกวียน
ลมที่เกิดจากจิตเทียบได้กับโค
จิตเทียบกับสารถี ฯ
ในเมื่อจิตคิดว่าจะเดิน
จะยืนเกิดขึ้นแล้ว
ธาตุลมก็ทำให้วิญญัติเกิดขึ้น
อิริยาบถเดิน เป็นต้น
ก็เป็นไปได้
เพราะความผลักดันของวาโยธาตุที่เกิดจากพลังงานของจิต
จากนั้นจึงเกิดมีโวหารเรียกว่า
สัตว์เดิน สัตว์ยืน ฉันเดิน ฉันยืน ดังนี้ ฯ
ด้วยเหตุนั้น
พระโบราณาจารย์จึงกล่าวประพันธ์เป็นคาถาไว้ว่า
เรือใบจะแล่นไปได้ก็ด้วยกำลังของลม
ลูกศรจะแล่นไปได้ก็ด้วยกำลังของสาย
ฉันใด
กายนี้ย่อมเดินไปได้ด้วยกำลังของลมฉะนั้น
อนึ่งเครื่องยนต์คือกายนี้
ที่ท่านประกอบแล้วด้วยสายใยคือ
จิต จึงเดิน ยืน และนั่งได้
เหมือนหุ่นยนต์ที่ชักด้วยสายใยฉะนั้น
ในโลกนี้ขึ้นชื่อว่าสัตว์ไรๆก็ตาม
ถ้าเว้นเหตุปัจจัยเสียแล้ว
จะยืนหรือเดินได้ตามลำพังของตนเองนั้นหาได้ไม่
ฯ
|