เมื่อผมเป็นนักเรียนก็ได้เรียนมาเช่นนี้
ครั้นต่อมาเป็นครูก็สอนนักเรียนเช่นนี้ต่อไปอีกถึง ๑๐ กว่าปี การสอนว่าสมองเป็นจิตใจ ก็เป็นเสมือนหนึ่งสอนว่าชาติหน้าไม่มี
การทำบุญทำบาปจะก่อให้เกิดเป็นผลไปในชาติหน้าไม่ได้
สัตว์ทั้งหลายเมื่อตายลงแล้วก็ถูกฝังจมเป็นดิน หรือถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไป
วิทยาศาสตร์มีอุดมคติที่สอนให้เรารู้ความจริงของธรรมชาติทั้งหลายในโลกตามความจริง
แต่ทางวิทยาศาสตร์นั้นเน้นหนักไปในเรื่องวัตถุ
ส่วนธรรมะ เฉพาะอย่างยิ่งทางพระอภิธรรมปิฏกก็เป็รวิทยาศาสตร์
มีอุดมคติที่จะสอนให้เรารู้ความจริงของธรรมชาติตามความจริงแท้ปราศจากสมมติเช่นเดียวกัน
แต่ธรรมะนั้นเน้นหนักไปในทางจิตใจมาก ส่วนทางวัตถุนั้นรองลงมา
วิทยาศาสตร์ได้นำเอาความลับมืดของธรรมชาติออกตีแผ่
แล้วยักย้ายถ่ายเทเปลี่ยนแปลง หรือพลิกแพลงธรรมชาติให้เป็นสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ
ใหม่ๆ มาบำรุงบำเรอความสุขให้แก่เราทางร่างกายภายนอก
ถ้าเราไม่รู้ความจริงของธรรมะ
เราก็จะหลงเตลิดเพลิดเพลินไปกับวัตถุอันไม่มีขอบเขตจำกัดมากขึ้นๆ
ในที่สุดก็ติดจมกับโลก กับวัตถุ
ธรรมะสอนให้รู้ความจริงของธรรมชาติ แสดงให้เห็นความจริงของโลก ของวัตถุ
ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีสาระแก่นสาร
เมื่อมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไร้สาระแก่นสารอันจะบังคับได้แล้ว
ก็ย่อมเอาเป็นที่พึ่งมิได้ ก็ย่อมเป็นทุกข์โทษภัยอันมหาศาล ความปรารถนาโลก
ปรารถนาวัตถุนั้น เป็นปัจจัยที่จะนำเราให้ต้องเกิดแล้วเกิดอีก
ทุกข์แล้วทุกข์อีก ตายแล้วตายอีกต่อไป เพื่อรับความทุกข์ทนหม่นหมอง
และความตายอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
สมอง
.....สมอง
(brain) เป็นอวัยวะสำคัญของระบบประสาทส่วนกลาง สมองแบ่งออกเป็น ๒ ชั้น
ชั้นนอกเป็นสีเทา (gray matter)
เป็นที่รวมของเซลล์ประสาท (neuron) และ axon ชนิดที่ไม่มีเยื่อหุ้ม
ส่วนชั้นในมีสีขาว(white matter) เป็นส่วนของใยประสาท
และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (neuroglia)
|
|
|
|
สมองแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ คือ
๑. สมองส่วนหน้า (fore brain)ประกอบด้วย
- cerebrum ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ เชาวน์
และรับความรู้สึกเกี่ยวกับการมองเห็น การได้ยิน
การรู้กลิ่น และรส เป็นต้น
- thalamus เป็นทางผ่านของความรู้สึกจากหู และตา เข้าสู่ cerebrum
๒. สมองส่วนกลาง (mid brain)ประกอบด้วย optic lobe
ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น เป็นส่วนใหญ่
๓. สมองส่วนหลัง (hind brain) ประกอบด้วย
- cerebellum ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว
- pons ทำหน้าที่ควบคุมการเคี้ยวอาหาร การหลั่งน้ำลาย การหายใจ เป็นต้น
|
จึงไม่เป็นเรื่องแปลกเลยว่า
ผู้ที่ได้ศึกษาวิชาการทางวิทยาศาสตร์มาย่อมเข้าใจว่า การมองเห็น
และการได้ยินนั้นเป็นเรื่องของสมอง และเมื่อได้ยินมาว่าจิตใจเป็นตัวรับรู้
และเป็นผู้สั่งงานให้เกิดความเป็นไปต่างๆ
ทุกคนจึงสรุปไปว่า
สมองนั้นคือ จิต ......
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางท่านเองก็ยังไม่เห็นด้วยในเรื่องของจิต
และอำนาจจิตหรือพลังจิต) แต่คิดว่าการทำงาน
การรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของร่างกายนั้นเป็นเรื่องของระบบประสาท คือสมอง
และไขสันหลัง เท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ชีววิทยา นักวิทยาศาสตร์ทางแพทย์
บางท่านกล่าวว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นหาใช่มีจิต(วิญญาณ) ดังที่ใครๆ
พากันเข้าใจไม่ วิญญาณนั้นไม่มี
ที่รู้ขึ้นมาได้นั้นเพราะอาศัยระบบประสาทต่างๆ
และสมองที่แสดงปฏิกิริยาสนองตอบต่อสิ่งที่มาเร้า จึงแสดงออกมาได้ .ซึ่งความรู้ต่างๆ
สามารถให้บทพิสูจน์ได้โดยการเอาสมองส่วนที่เกี่ยวกับการจำออกไปเสียแล้ว
ความจำก็จะสูญสิ้นไป เป็นต้น
ร่างกายที่เคลื่อนไหวไปมา หรือสั่งให้มันทำอะไรให้ก็ได้
ก็เพราะว่าการสั่งงานจากสมองนี่เอง ดังนั้น
ก็เลยประกาศความจริงกันในบุคคลส่วนใหญ่ว่า ความรู้สึก เช่น เห็นได้ ได้ยินได้
คิดได้ และสั่งการให้เคลื่อนไหวได้ทั้งหมดเหล่านี้ ต้องอาศัยมันสมอง(brain)
อาศัยระบบประสาท มาเป็นตัวการทำให้เห็น ได้ยิน คิด เคลื่อนไหวอิริยาบถ (ที่กล่าวมานี้
ก็เพราะเป็นผลที่ได้จากการทดลองกับคนจริงๆ จากเครื่องมือต่างๆ เช่น
เครื่องไฟฟ้า ตลอดจนจากประสบการณ์ที่แสดงออกต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า) บัดนี้
เราลองมาพิจารณาดูว่า เป็นไปจริงๆ ดังที่ได้ทดลองนั้นหรือหาไม่
โดยตั้งคำถามดูว่า มันสมองก็ดี ไขสันหลังก็ดี ระบบประสาทก็ดี
เป็นตัววิญญาณเป็นตัวแสดงการรู้อารมณ์ได้นั้น ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร
ในเรื่องนี้ ต่างก็จะยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน
ทั้งวางเป็นหลักฐานแน่นหนาในวิชาการจริงๆ ว่า
ประกอบขึ้นมาจากการวิวัฒนาการของสสาร
ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอถามต่อไปว่า สมองนี่ประกอบขึ้นด้วยสสารชนิดไหน
ก็ประกอบขึ้นด้วยเซลล์
และจำนวนเซลล์ในสมองนี้ไม่ใช่ว่าจะมีร้อยสองร้อย พันสองพันก็หาไม่
หากแต่มากมายเหลือเกิน แล้วตรงส่วนใดเล่าที่เป็นตัวการทำให้เราเห็น
เป็นตัวการที่ทำให้เราได้ยิน ให้เราคิดและให้เราเคลื่อนไหวอิริยาบถได้
เพราะสมองส่วนใหญ่ของคนทั้งหมดในกระโหลกศีรษะนั้น
ถ้านับเซลล์ที่รวมกันในจำนวนทั้งหมดด้วยแล้วมากมาย มันจะทำงานด้วยกันอย่างไร
นี่ข้อหนึ่ง
|
อีกข้อหนึ่งก็น่าจะได้ตั้งคำถามว่า เซลล์ต่างๆ
ที่ประกอบกันขึ้นเป็นมันสมองก็ดี เป็นระบบประสาทก็ดี
จะเป็นด้วยส่วนไหนก็ตาม ระบบประสาท หรือสมองเหล่านี้ก็หนีไปไม่พ้น
ว่าประกอบขึ้นด้วยหน่วยเล็กๆ ที่เราเรียกกันว่าปรมาณูนั่นเอง
เพราะว่าเมื่อเอาเซลล์ทั้งหมดมาแยกออกไปๆ จนถึงเล็กที่สุดแล้ว
มันก็จะเป็นปรมาณู
|
ก็แล้วในปรมาณูนั้นเล่า
มีอะไร ในปรมาณูหนึ่งนั้นก็มีประจุไฟฟ้า ซึ่งมีอีเล็คตรอน
(electron) เป็นประจุไฟฟ้าลบ มีโปรตรอน (protron)
ซึ่งประจุไฟฟ้าบวกอยู่ที่จุดศูนย์กลาง (neucleus)
แล้วมีที่ไม่เป็นบวกและไม่เป็นลบ เรียกว่า นิวตรอน (neutron)
|
..ที่กล่าวมาว่า ส่วนที่คิดได้นี้มาจากสมองกับระบบประสาท
แล้วสมองและระบบประสาทนั้น เมื่อย่อยละเอียดออกไปแล้วก็คือปรมาณู
ซึ่งเป็นสสารมีประจุไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ แล้วมีพลังงาน มีอุณหภูมิด้วย
ทั้งหมดนี้กลุ่มไหนเล่าเป็นตัวคิด ตัวนึก ตัวจำ ตัวรู้ดี หรือชั่ว บุญ
หรือบาป เป็นไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ หรือว่ามันรวมๆกันประชุมทำงาน ?
และที่สอนกันว่าสมองตัวทำหน้าที่จดจำนั้น
..ก็ในเมื่อสมองเป็นประจุไฟฟ้า
ประจุไฟฟ้ามันรู้จักการเก็บความจำว่าเป็นสีอะไรๆ ด้วยหรือ
มันรู้ด้วยหรือว่าได้เก็บสีแดงเอาไว้ แล้วก็คนที่มีพรสวรรค์ เช่นเด็กเล็กๆ
ที่เขียนรูปได้ดีหรือเล่นดนตรีได้เก่ง จนผู้ใหญ่ต้องได้อายเล่า
ก็เห็นจะเก็บความเก่งเหล่านั้นเอาไว้ในสมองด้วยกระมัง
เขาหัดมาตั้งแต่ครั้งไหน จะว่าถ่ายทอดมาจากพ่อแม่, ปู่ย่า,ตายาย
ก็ดูจะห่างไกลไปมากนัก
ด้วยเหตุนี้ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า เรื่องจิตใจหรือวิญญาณนั้น
ในวิทยาการทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ มันมิได้ขาวขึ้นมาเลย
เรื่องของความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นอารมณ์นั้น
ยากที่จะทำความเข้าใจด้วยใช่วิสัยของปุถุชนผู้มีกิเลสทั้งหลาย
.......
|
อย่างไรก็ดี ในพระพุทธศาสนา ...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้แสดงเอาไว้ว่า
ธรรมดารูปอันหมายถึงสสารและพลังงาน
นั้นเป็นอนารมมณํ คือรู้อารมณ์ไม่ได้เลย หมายความว่า ไม่ว่ารูปอะไรทุกๆ
อย่าง ไม่ว่ารูปนั้นจะวิวัฒนาการมาสักกี่พันกี่หมื่นกี่แสนล้านปีก็ตาม
รูปนั้นจะวิวัฒนาการมานานสักเท่าใดๆ คือเจริญขึ้น ๆ มาอย่างไร ๆ
รูปทั้งหลายก็หนีประจุไฟฟ้าและพลังงานไปไม่ได้
...... เมื่อมันเป็นไฟฟ้า
และเป็นพลังงานแล้ว
รูปทั้งหลายก็จะรู้อารมณ์ขึ้นมาเกิดทำหน้าที่ เห็น ได้ยิน
คิดนึกจะได้อย่างไร......
|
ในพระพุทธศาสนาได้แสดงเอาไว้ว่า ธรรมชาติของรูปไม่ว่าจะเป็นมันสมอง
ระบบประสาท ไขสันหลัง หรือรูปอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถรู้อารมณ์ได้เลยเป็นอันขาด
ทำความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาไม่ได้อย่างแน่นอน ...บรรดารูปทั้งหลายในโลกนี้
ทั้งหมดไม่มีโอกาสเลยแม้แต่สักน้อยหนึ่งที่จะมาทำการรู้ คือ เห็น ได้ยิน
คิดนึก เคลื่อนไหวอิริยาบถ ตลอดจนความคิดอ่านจดจำทุกข์หรือสุข รู้จักความดี
ความชั่ว ดีใจ เสียใจ แล้วเก็บเอาความรู้ต่างๆ เอาไว้ภายในรูปนั้นๆ ได้
ผมเองเมื่อเป็นนักเรียนตั้งแต่เล็กๆ มาจนโต
ผมก็ได้รับคำสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ว่า
มันสมองนั้นเป็นตัวรับรู้ในอารมณ์ทั้งหมด ไม่ว่าเห็น หรือ ตลอดจนคิดนึกต่างๆ
มันสมองนั่นแหละเป็นตัวบงการให้กระทำหรือไม่ให้กระทำ
และมันสมองนี่เองเป็นตัวการสั่งให้ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน คู้หรือเหยียด
กินหรือดื่ม ท่านสอนเราว่ามันสมองนี่เองเป็นตัวจิตใจ
ครั้นเติบโตขึ้นมาจนเป็นครูสอนอยู่ในโรงเรียน
ผมก็ได้ดำเนินการตามบูรพาจารย์เหล่านั้น ได้สั่งสอนเด็กๆ ต่อมาอีกจนกว่า ๑๐
ปี โดยสอนว่า มันสมองเป็นตัวจิตใจ
มันสมองเป็นตัวการสั่งให้ร่างกายกระทำในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความดี
หรือความชั่วบุญหรือบาปก็ตาม
..... ด้วยเหตุที่สอนว่า มันสมองคือจิตใจนั่นเอง
ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประชาชาติทั่วโลก
เพราะเมื่อมันสมองเป็นวัตถุ เป็นสสารเสียแล้วเช่นนี้ ก็ย่อมจะเก็บบาป
หรือเก็บบุญเอาไว้ไม่ได้
...ดังนั้น เมื่อบุคคลใดสิ้นชีวิตลงไปแล้ว
มันสมองก็จะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน หรือถูกฝังให้กลายเป็นดินไปด้วย .......
ฉะนั้น ผู้ที่มีความเชื่อว่า มันสมองเป็นตัวจิตใจ
จึงมีความคิดเห็นหรือมีความเชื่อมั่นกันเป็นส่วนมากว่า คนตายลงไปแล้วก็สูญ
อันหมายถึง จะกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกไม่ได้เลยเป็นอันขาด
เมื่อเกิดขึ้นมาไม่ได้เสียแล้ว
ผลบุญหรือผลบาปก็ไม่ต้องไปสนองแก่ผู้กระทำอีกต่อไป
หลังจากที่ได้สิ้นชีวิตลงไปแล้ว บุญและบาปก็สูญหายเปล่าโดยไม่มีการชดใช้
การที่จะไปเกิดอยู่ดีมีความสุข หรือไปเกิดอยู่ไม่ดีมีความทุกข์
จะเป็นผลจากการกระทำในอดีต ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก
ก็ยิ่งจะไม่ต้องคำนึงถึงเลย
ถ้าเช่นนั้นในพระพุทธศาสนาแสดงถึงจิตและพลังจิตไว้อย่างไรเล่า
อะไรเป็นตัวการทำให้เราเห็น ทำให้เราได้ยิน และทำให้เราเคลื่อนไหวอิริยาบถได้
ในพระพุทธศาสนาได้แสดงว่า ตัวการนั้นก็คือ จิตใจ หรือ วิญญาณ ซี่งเป็นพลังงานทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทำความรู้สึกให้เกิดขึ้น
มันสมองเป็นรูปรู้สึกนึกคิดไม่ได้ และจิตใจหรือวิญญาณนี้เรียกชื่อต่างๆ กัน
ถ้าเกิดขึ้นทางตา ก็เรียกว่า จักขุวิญญาณ
ถ้าเกิดขึ้นทางหู ก็เรียกว่า โสตวิญญาณ
ถ้าเกิดขึ้นทางใจ ก็เรียกว่า มโนวิญญาณ
ดังนี้เป็นต้น
.
ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า
พลังจิตเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มีความสามารถ รู้
ในระดับต่าง ๆ นี้ ในพระพุทธศาสนาไม่ได้แสดงว่า
เป็นธรรมชาติรู้เฉยๆ แล้วก็ให้ผู้ศึกษาทั้งหลายเชื่อกันไปโดยไร้เหตุผล
แต่ได้ให้การศึกษาที่ประกอบไปด้วยหลักการพร้อมทั้งให้เหตุผลอย่างบริบูรณ์มากมายเหลือเกิน
นอกจากนั้น มีการอธิบายการทำงานของจิต (พลังจิต)ในขณะวิญญาณกำลังเกิด
ในขณะวิญญาณกำลังดับ ในขณะวิญญาณกำลังปฏิสนธิในภพชาติใหม่
แม้ในขณะที่กำลังนอนหลับสนิท กำลังฝันอยู่ในเรื่องราวต่างๆ หรือแม้กำลังละเมอ
หรือสลบอยู่ก็อธิบายได้อย่างยืดยาว .. ( พลังจิต
มิได้หมายเพียงเฉพาะการทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้อย่างเดียว)
..... ผู้ใดที่ศึกษาก็จะได้ความรู้อย่างละเอียดลออพิสดาร
พร้อมทั้งบทพิสูจน์ด้วย ซึ่งไม่ใช่เป็นการสอนโดยวิธีให้เชื่อตามๆ กัน
ถ้าท่านได้ศึกษาพระอภิธรรมเป็นลำดับไปแล้วท่านก็จะได้ความรู้ที่น่าอัศจรรย์มากจนตื่นตะลึงทีเดียว.......
|